เมนู

9. ปิลินทวัจฉเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปิลินทวัจฉเถระ


[146] ได้ยินว่า พระปิลินทวัจฉเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า
การที่เรามาสู่สำนักของพระศาสดานี้ เป็นการ
มาดีแล้ว ไม่ไร้ประโยชน์ การที่เราคิดไว้ว่า จักฟัง
ธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักบวช
เป็นความคิดที่ไม่ไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ทรงจำแนกธรรมทั้งหลายอยู่ เราได้บรรลุ
ธรรมอันประเสริฐแล้ว.

อรรถปิลินทวัจฉเถรคาถา


คาถาของท่านพระปิลินทวัจฉเถระ เริ่มต้นว่า สฺวาคตํ ดังนี้.
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
ได้ยินว่า พระเถระนี้ เกิดในตระกูลมีโภคะมาก ณ กรุงหงสาวดี ใน
กาลของพระพุทธเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ฟังธรรมในสำนักของ
พระศาสดา โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง นั่นแล เห็นพระบรมศาสดาทรง
แต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศ โดยเป็นที่รักเป็นที่พอใจ
ของเทวดาทั้งหลาย ปรารภนาตำแหน่งอันเลิศนั้น บำเพ็ญกุศลจนตลอดชีวิต
จุติจากอัตภาพนั้นแล้วท่องเที่ยวไป ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วบังเกิด

ในมนุษยโลก ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า สุเมธะ. เมื่อ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว กระทำการบูชาพระสถูปของ
พระบรมศาสดา และยังมหาทานให้เป็นไปในหมู่สงฆ์ จุติจากมนุษยโลก
นั้นแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายนั่นแหละ เมื่อพระพุทธเจ้า
ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้น เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ยังมหาชนให้ดำรงอยู่ในศีล 5
ได้กระทำให้เป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
เขา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ของเราทั้งหลาย ยังไม่เสด็จอุบัติขึ้น
นั่นแล บังเกิดในเรือนแห่งพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี. คนทั้งหลายขนาน
นามเขาว่า ปิลินทะ ส่วนคำว่า วัจฉะ เป็นโคตร. ด้วยเหตุนั้น เวลาต่อมา
เขาจึงมีนามปรากฏว่า ปิลินทวัจฉะ ก็เขาบวชเป็นปริพาชก เพราะเป็นผู้
มากไปด้วยความสลดใจในสงสาร สำเร็จวิชชา ชื่อว่า จูฬคันธาระ ท่องเที่ยว
ไปในอากาศได้ด้วยวิชชานั้น ทั้งเป็นผู้รู้จิตของผู้อื่น ถึงความเป็นผู้เลิศด้วย
ลาภ และยศ อาศัยอยู่ในกรุงราชคฤห์.
ครั้งนั้น จำเดิมแต่เวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ตรัสรู้
พระสัมมาสัมโพธิญาณ เสด็จเข้าไปสู่กรุงราชคฤห์โดยลำดับ ด้วยพระพุทธานุ-
ภาพ ทำให้วิชชานั้น ของเขาเสื่อมไป (ไม่สมบูรณ์) ไม่สามารถยังกิจของ
ตนให้สำเร็จได้. เขาคิดว่า ก็เราได้ฟังมาดังนี้ว่า เมื่ออาจารย์และปรมาจารย์
ทั้งหลาย กล่าวมนต์นี้อยู่ มหาคันธารวิชชาอยู่ในที่ใด จูฬคันธารวิชชาย่อม
เสื่อม (ไม่สมบูรณ์) ในที่นั้น ดังนี้. ก็นับจำเดิมแต่พระสมณโคดมเสด็จมาแล้ว
วิชชานี้ของเรา ไม่สมบูรณ์เลย พระสมณโคดม ต้องรู้มหาคันธารวิชชา
โดยไม่ต้องสงสัย ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปนั่งใกล้พระสมณโคดมนั้น แล้ว
เรียนวิชชานั้นในสำนักของพระองค์ ดังนี้. เขาเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วกราบทูลดังนี้ว่า ข้าแต่พระมหาสมณะ ข้าพระองค์ประสงค์จะเรียนวิชชา

อย่างหนึ่งในสำนักของพระองค์ ขอพระองค์จงให้โอกาสแก่ข้าพระองค์ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงบวช. เขาสำคัญว่า บรรพชาเป็นการ
บริกรรมวิชชาจึงยอมบวช. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงธรรมแก่ท่าน
แล้วทรงประทานกัมมัฏฐานอันเหมาะแก่จริต. ท่านเจริญวิปัสสนาบรรลุ
พระอรหัตแล้ว ต่อกาลไม่นานเลย เพราะความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย.
ก็เทวดาเหล่าใด ผู้ตั้งอยู่ในโอวาทของท่านในชาติก่อน แล้วเกิดในสวรรค์
เทวดาเหล่านั้นอาศัยความเป็นผู้รู้คุณนั้น จึงเกิดความนับถืออย่างมาก เข้าไป
หาพระเถระทุกเย็น ทุกเข้าแล้วจึงไป. เพราะเหตุนั้น พระเถระ จึงถึงความ
เป็นผู้เลิศ เพราะความเป็นผู้เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของเทวดาทั้งหลาย. สมดัง
คาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เมื่อพระโลกนาถ พระนามว่า สุเมธ เป็น
บุคคลผู้เลิศ นิพพานแล้ว เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสม-
นัส ได้ทำการบูชาพระสถูป. ในสมาคมนั้น พระขี-
ณาสพผู้ได้อภิญญา 6 มีฤทธิมากเท่าใด เรานิมนต์
พระขีณาสพเหล่านั้น มาประชุมกันในสมาคมนั้นแล้ว
ได้ทำสังฆภัตถวาย เวลานั้นมีภิกษุผู้อุปัฏฐาน ของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า สุเมธ ท่านมีนามว่า
สุเมธ ได้อนุโมทนาในเวลานั้น ด้วยจิตอันเลื่อมใส
นั้น เราได้เข้าถึงวิมาน นางอัปสร แปดหมื่นหกพัน
ได้มีแก่เรา นางอัปสรเหล่านั้น ย่อมคล้อยตามความ
ประสงค์ทุกอย่างของเราเสมอ เราย่อมครอบงำ
เทวดาเหล่าอื่น นี่เป็นผลแห่งบุญกรรม. ในกัปที่ 25
เราเป็นกษัตริย์ พระนามว่า วรุณ ในกาลนั้น เราได้

เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เสวยโภชนะอันขาวผ่อง ชน
เหล่านั้นไม่ต้องหว่านพืช และไม่ต้องนำไถไปไถ
มนุษย์ทั้งหลาย ย่อมบริโภคข้าวสาลีอันเกิดเอง สุก
เอง ในที่ไม่ได้ไถ เราได้เสวยราชสมบัติในภพนั้นแล้ว
ได้ถึงความเป็นเทวดาอีก ถึงเวลานั้น โภคสมบัติเช่น
นี้ก็บังเกิดแก่เรา สัตว์ทั้งปวงซึ่งเป็นมิตร หรือมิใช่
มิตร ย่อมไม่เบียดเบียนเรา เราเป็นที่รักของสัตว์ทุก
จำพวก นี้เป็นผลแห่งกรรม เราได้ให้ทานใดในกาล
นั้น ด้วยการให้ทานนั้น เราไม่พบทุคติเลย นี้เป็นผล
แห่งการไล้ทาด้วยของหอม ในภัทรกัปนี้ เราผู้เดียว
ได้เป็นอธิบดีของคน ได้เป็นราชฤาษีผู้มีอานุภาพมาก
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีพลมาก เรานั้นตั้งอยู่ใน
ศีล 5 ได้ยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ถึงสุคติ ได้เป็นที่
รักของเทวดาทั้งหลาย คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิ-
ทา 4 วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 เราได้ทำให้แจ้ง
ชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำสำเร็จแล้ว

ดังนี้.
อนึ่ง เพราะเหตุที่ท่านเป็นผู้อันเทวดาทั้งหลาย รักใคร่สนิทสนมอย่าง
มากยิ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงตั้งพระเถระนี้ไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุ
ผู้เลิศ โดยความเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของเทวดาทั้งหลาย โดยพระพุทธดำรัส
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระปิลินทวัจฉะ เลิศกว่าภิกษุผู้เป็นมหาสาวกของเรา
ฝ่ายทำให้เทวดาทั้งหลายรักใคร่ ชอบใจ ดังนี้. วันหนึ่ง ท่านนั่งอยู่ในท่ามกลาง
ภิกษุสงฆ์ พิจารณาคุณทั้งหลายของตนแล้ว เมื่อจะสรรเสริญการมาในสำนัก

ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่าเป็นนิมิตของวิชชา อันเป็นเหตุแห่งการบรรลุคุณ
เหล่านั้น จึงได้ภาษิตคาถาว่า
การที่เรามาสู่สำนักของพระศาสดานี้เป็นการมา
ดีแล้ว ไม่ไร้ประโยชน์ การที่เราคิดไว้ว่า จักฟังธรรม
ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักบวช เป็น
ความคิดที่ไม่ไร้ประโยชน์ เพราะเมื่อพระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงจำแนกธรรมทั้งหลายอยู่ เราได้บรรลุธรรมอัน
ประเสริฐแล้ว
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฺวาคตํ ความว่า เป็นการมาที่ดี เชื่อม
ความว่า การที่เรามานี้. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สฺวาคตํ ความว่า อันเรามาดี
แล้ว ต้องเปลี่ยนวิภัตติเป็น มยา. บทว่า นาปคตํ ตัดบทเป็น น อปคตํ
ได้ความว่า ไม่ไปปราศจากการถึงความเจริญ คือประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า
นยิทํ ทุมฺมนฺติตํ มม ความว่า พระดำรัสนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่เรา
ไม่ถูกต้อง หรือ เราไตร่ตรองไม่ดี ก็หามิได้. ท่านกล่าวอธิบายไว้ ดังนี้ว่า
ความคิด คือความดำริ ได้แก่ ถ้อยคำที่เรากล่าวว่า เราฟังธรรมในสำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักบวชดังนี้ หรือสิ่งที่เราพิจารณาด้วยจิต แม้นี้
เป็นความคิดที่ไม่ไร้ประโยชน์ บัดนี้ เมื่อจะแสดงเหตุ ในบทว่า ทุมฺมนฺติตํ
นั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ปวิภตฺเตสุ ดังนี้. บทว่า ปวิภตฺเตสุ
ความว่า จำแนกแล้วโดยประการ (ต่าง ๆ). บทว่า ธมฺเมสุ ความว่า ใน
ไญยธรรม หรือในสมถธรรมทั้งหลาย ได้แก่ ในธรรมที่เดียรถีย์ กล่าวไว้
ด้วยสามารถแห่งปกติเป็นต้น หรือในธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย
ตรัสจำแนกไว้ ด้วยสามารถแห่งอริยสัจ มีทุกขสัจเป็นต้น. บทว่า ยํ เสฏฺฐํ
ตทุปาคมึ
ความว่า บรรดาธรรมเหล่านั้น ธรรมใดประเสริฐที่สุด เราเข้า

ถึงธรรมนั้น ซึ่งเป็นจตุราริยสัจจธรรม อีกอย่างหนึ่ง เราเข้าถึงซึ่งศาสน-
ธรรม อันเป็นเหตุนำสัตว์ให้ตรัสรู้ คือเข้าถึงว่า นี้ธรรม นี้วินัย. อีกอย่าง
หนึ่ง ในบรรดาสภาวธรรมทั้งหลาย อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นแหละ ทรง
จำแนกแล้ว ด้วยสามารถแห่งกุศลเป็นต้น (และ) ด้วยสามารถแห่งขันธ์เป็น
ต้น ตามความเป็นจริง ธรรมใด ประเสริฐ คือสูงสุด ได้แก่ ประเสริฐใน
ศาสนานั้น เราเข้าถึงแล้ว คือเข้าถึงแล้วโดยประจักษ์ในตน ได้แก่ ทำให้
แจ้งแล้ว ซึ่งธรรมนั้นอันประเสริฐ อันหมายถึงธรรม คือ มรรค ผล และ
นิพพาน. เพราะฉะนั้น จึงประกอบความว่า การที่เรามาสู่สำนักของพระ
ศาสดานี้ เป็นการมาดีแล้ว ไม่ไร้ประโยชน์ การที่เราคิดว่า จักฟังธรรมใน
สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจักบวช เป็นความคิดที่ไม่ไร้ประโยชน์ ดังนี้.
จบอรรถกถาปิลินทวัจฉเถรคาถา

10. ปุณณมาสเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระปุณณมาสเถระ


[147] ได้ยินว่า พระปุณณมาสเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้อย่างนี้ว่า
ผู้ใดไม่ทะเยอทะยานในโลกนี้หรือโลกอื่น ผู้นั้น
เป็นผู้จบไตรเพท เป็นผู้สันโดษ สำรวมแล้วไม่ติดอยู่
ในธรรมทั้งปวง เป็นผู้รู้แจ้งซึ่งความเกิดขึ้นและความ
เสื่อมไปของโลก ดังนี้.
จบวรรคที่ 1